เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o พ.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เรามาถวายทานๆ ถวายทานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาเพื่อดำรงชีวิตไว้ ดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าใครรู้จักการประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติคือการดัดแปลงตนเอง การดัดแปลงตนเองมันก็ต้องมีจริตนิสัยมีมา การดัดแปลงตัวเอง เขาดัดไม้ เขาพยายามดัดไม้ เขาลนไฟของเขา เขาพยายามทำของเขาให้เข้ารูปเข้ารอยของเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปล่อยวางๆ คำว่า ปล่อยวางๆ” ปล่อยวางอะไร อะไรปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวางมันก็อากาศไง มันก็วัตถุไง มันตั้งอยู่ที่นั่นมันก็ปล่อยวางของมัน มันไม่ใช่ชีวิตจิตใจของมันหรอก

แต่จิตใจของคน จิตใจของคนมันมีสุขมีทุกข์ มันมีอิจฉาริษยา มันมีความมักมากอยากใหญ่ มันเหยียบย่ำคนอื่น นี่เพราะอะไร เพราะว่ามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันเป็นสิ่งมีชีวิตไง

สิ่งมีชีวิตนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเข้ามาที่ใจของมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ คำว่า รื้อสัตว์ขนสัตว์” สัตว์โลก สัตตะผู้ข้อง ผู้ข้อง ใครมันข้อง วัตถุสิ่งใดมันไม่ข้องใดๆ ทั้งสิ้น มนุษย์สร้างทั้งนั้น มนุษย์สะสมมันมา มนุษย์สะสมขึ้นมา เห็นไหม

เวลาในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง สภาวะแวดล้อม สภาวะแวดล้อมที่เสียหาย เสียหายเพราะคนนี่แหละ แล้วคนที่เอารัดเอาเปรียบมาก คนที่มีทรัพยากรมาก ดูการทำเหมืองแร่ต่างๆ ทำลายสภาวะแวดล้อมทั้งนั้นน่ะ แต่เขาได้ประโยชน์คนเดียวไง แต่คนทั้งโลกต้องมารับผิดชอบเหมือนกัน คนทั้งโลกต้องมารับผิดชอบสภาวะแวดล้อมอย่างนั้น แต่ถ้าคนมันมีเมตตานะ มันกำไรแต่น้อยลง พยายามอย่าให้ทำแล้วเสียหาย ถ้าเขาทำของเขาได้ แต่อย่างว่าแหละ ทุนนิยม ทุนนิยมมีการแข่งขัน มีการแข่งกัน ถ้าที่ไหนมีการแข่งขัน ที่นั่นจะมีการคิดค้น มันจะเจริญงอกงามขึ้นมา เพราะมันมีการแข่งขันไง

แต่เวลาความเป็นธรรมๆ เป็นธรรมผู้เสียสละๆ พอผู้เสียสละ เขาบอกเป็นผู้ที่เสียหาย ผู้ที่ขาดทุน ผู้ที่เสียสละๆ

คำว่า เสียสละ” มันเสียสละในหัวใจนะ มันเสียสละได้หรือไม่ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยอมใคร คนสองคนคุยกันไม่ได้หรอก คนสองคนนะ เดี๋ยวก็มีเรื่อง แล้วเวลาคนคนเดียวความคิดมันยังกระทบกระทั่งกันในหัวใจเลย ถ้ากระทบกระทั่งในหัวใจ เห็นไหม เวลากระทบกระทั่งกันในหัวใจเราก็ไม่รู้ว่านั่นคืออะไรไง

เวลามันคิดขึ้นมา คิดขึ้นมาเจ็บแสบปวดร้อนในใจทั้งสิ้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเข้ามาที่นี่แหละ สอนเข้ามาที่หัวใจของสัตว์โลก สอนเข้ามาที่หัวใจของเรา

ถ้าหัวใจของเราเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีอำนาจวาสนามา เกิดมาบุญพาเกิด มันสว่างไปมืด มันมืดไปสว่างไง ถ้าคนที่สว่างมา สว่างมาเขาเกิดมาด้วยความเพียบพร้อม ถ้าเขาต่อเนื่องกันไป เห็นไหม

ในพระไตรปิฎกนะ หมอชีวกต่างๆ พ่อแม่คลอดมาแล้วไม่มีปัญญาเลี้ยง เอาไปทิ้งถังขยะ เอาไปทิ้งถังขยะ พระเจ้าพิมพิสารไปตรวจไปเจอในถังขยะ ไปเก็บมาเลี้ยง เวลาคนเกิดมาๆ เกิดมาพ่อแม่ไม่ดูไม่แล เกิดมาพ่อแม่ยากจน เกิดมา แต่เขาเป็นคนดีได้ เขาเป็นเอกบุรุษของโลกก็ยังได้เลย นี่ไง มามืดไปสว่าง

เวลามามืดๆ มามืดมาด้วยความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากขนาดไหน ถ้าเรามีสติปัญญานะ ถ้ามีสติปัญญามันแก้ไขไปจากที่นี่นะ มันไม่บีบคั้นหัวใจของเรา

แต่ถ้ามันไม่มีสติปัญญาขึ้นมา โทษนะ เวลาโทษสังคม สังคมรังแกๆ พ่อแม่รังแกเราๆ แล้วเราล่ะ

คนเราเวลาเกิดมาพ่อแม่จะทุกข์ยากขนาดไหน แต่ถ้าเขามีสติมีปัญญาของเขา เห็นไหม กรรมพาเกิดๆ เราต้องมีเวรมีกรรมร่วมกัน เพราะอะไร เพราะขนาดมีเวรมีกรรมร่วมกัน เราเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ที่เสียสละมากน้อยขนาดไหน พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มานะ ให้ชีวิตนี้มานั่นก็สาธุ ขอบบุญขอบคุณอยู่แล้ว แล้วเรามีสติปัญญาของเราขนาดไหนเราก็สร้างเนื้อสร้างตัวเราขึ้นมา มามืดไปสว่าง ไปสว่างขึ้นมาเป็นเอกบุรุษของเรา

มาสว่างไปมืด มานี่สว่างจ้าเลย แต่ตีโพยตีพายไปหมด สังคมรังแกเรา โทษคนอื่นหมดเลย ไม่เคยโทษตัวเองเลย

ถ้ามันจะโทษตัวเองมันต้องดัดแปลงที่ตัวเองนี่ มันต้องมีสติปัญญาที่นี่ ถ้ามีสติปัญญาที่นี่ นี่ไง ถ้ามีสติปัญญาที่นี่ อาการ ๓๒ เหมือนกัน มีทุกอย่างพร้อม ทำอะไรก็ได้ จะทำอย่างไรก็ได้ ถ้าจะทำนะ แล้วทำด้วยสติด้วยปัญญา ทำของเราด้วยความพากเพียรความหมั่นเพียรของเรา สร้างสมอาชีพของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นประสบความสำเร็จ เห็นไหม

แล้วคนที่มีอำนาจวาสนาเขาเสียสละของเขา เศรษฐีที่เขาเป็นธรรมนะ เขาพยายามช่วยสังคม เขาพยายามจะดูแลสังคม เขาช่วยคนอื่นไง พอช่วยคนอื่นแล้วมันมีความสุข นี่บุญ เวลาช่วยคนอื่นแล้วมีความสุข

ไอ้คนที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันจะกอบโกย แล้วกอบโกยไม่กอบโกยเปล่าๆ นะ กอบโกยแล้วมานั่งทุกข์ใจไง นู่นก็ยังไม่พอใจ นี่ก็ยังไม่พอใจ ไม่พอใจใดๆ สักอย่างเลย

แต่เศรษฐีที่เขาเป็นธรรมๆ นะ เขาช่วยเหลือสังคม เขามีอำนาจวาสนาบารมีของเขา สังคมที่ไหนก็ชื่นชมเขา ถ้าชื่นชมเขาเพราะอะไร เพราะเขาทำคุณงามความดีของเขา นี่ไง ถ้าใจเป็นธรรมๆ สิ่งที่ได้มาๆ ได้มาเพื่อประโยชน์สังคม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญา เราฟังธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนเกิดมาเสมอภาคกัน คนเกิดมาเท่ากัน ไม่มีใครสูงต่ำกว่าใครทั้งนั้นน่ะ เว้นไว้แต่วาสนาของคน วาสนาของคนนะ เชาวน์ปัญญาของคนไง

ถ้าเชาวน์ปัญญาของคน คนมีอำนาจวาสนานะ เกิดมาทำไม พอเริ่มคิดว่าเกิดมาทำไมมันเริ่มแสวงหาแล้ว ใช่ เราเกิดมาเป็นคน คนมีปากมีท้อง เราต้องมีอาชีพหน้าที่การงานของเรา ถ้ามีอาชีพหน้าที่การงานของเรา พระพุทธศาสนา ปู่ย่าตายายของเรานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา คนที่หวังบุญหวังกุศลเขาจะเสียสละของเขา

นี่ไง เราเป็นสมณะ สมณะผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะมาค้นคว้าหาจิตใจของตน อาชีพอย่างนั้นน่ะสมณสารูป สมณสารูป ห้ามใช้ชีวิตแบบฆราวาส ถ้าห้ามใช้ชีวิตแบบฆราวาสก็ไม่มีอาชีพ ไม่มีการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง

นี่ไง เขาเสียสละของเขา เราอาศัยความที่เขาต้องการบุญกุศลของเขา นี่การส่งเสริมดูแลกัน นี่ไง ถ้าเราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราได้สิ่งนี้มา

ถ้าเราว่าเราต้องขวนขวาย ต้องอะไร

สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่มันเป็นอนิจจังทั้งสิ้น ข้าวปลาอาหารมันต้องหุงหานะ มันสำเร็จมาไม่ได้หรอก มันต้องมีคนทำมันขึ้นมา แล้วมันจะมากักตุนไว้ เรามีมื้อนี้เราจะมีกินตลอดชาติ ไม่มีหรอก มันเป็นอนิจจัง มันเสีย มันบูด มันเน่า แต่ถ้าในปัจจุบันนี้มันก็เป็นอาหารในมื้อปัจจุบันนี้ แล้วมื้อต่อไปเราก็ต้องแสวงหาต่อไป นี่ในปัจจุบันๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เรามีสติปัญญาในปัจจุบันนี้ เราก็ไม่ไปดึงอนาคตมาให้เป็นความทุกข์ความยาก เราก็ไม่คิดถึงอดีตที่มันช้ำใจเสียใจอยู่นั่น นั่นทิ้งไปหมดแล้ว แล้วในปัจจุบันนี้ทำคุณงามความดีขนาดนี้ ถ้าคุณงามความดีขนาดนี้ พรุ่งนี้ต่อไปมันจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามันดีของมันได้ มันดีไม่ได้เพราะเราไปเหนี่ยวรั้งมาตลอดไง นี่ปัจจุบันไง

ฉะนั้น สิ่งใดก็แล้วแต่สะสมไว้ไม่ได้ สะสมไว้มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แต่ถ้ามันเสียสละ เสียสละไป แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันสะสม มันมักมาก มันอยากใหญ่ อยากใหญ่แล้วมันไม่ได้ใหญ่หรอก ไม่ได้ใหญ่เพราะอะไร เพราะการคิดอย่างนั้นมันเหยียบย่ำหัวใจของตน

แต่ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละหมด แม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์จะได้เป็นกษัตริย์ก็เสียสละทั้งสิ้น ไม่ต้องการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการผูกพัน

ห่วงมือ ห่วงเท้า ห่วงคอ บ่วงตราสังข์ที่เขาสังข์ไว้มันแกะไม่ได้ มันแกะไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันติดมันพอใจ มันอยากได้ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เขาแกะออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังทิ้งเลย ทิ้งเสร็จแล้วมาค้นคว้า มาหาความจริงในใจของตน ถ้าหาความจริงในใจของตนมันเป็นขึ้นมาจริง เห็นไหม สิ่งที่มันเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจ

เวลาเราคิด เกิดมาทำไม เกิดมาทุกข์มายาก การเกิดมานะ ใครจะแสวงหามากน้อยขนาดไหน ชีวิตนี้ต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ตายหมด เวลาตายไปแล้ว สิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยอะไร ได้มาด้วยความเป็นธรรมๆ ได้มาด้วยความเป็นธรรมนี่เป็นบุญเป็นกุศลเพื่อสังคมต่อไป นี่ไง เพื่อสังคมต่อไป ตัวเองก็มีอำนาจวาสนาบารมี

ที่มีวาสนาบารมีนะ เทวดาบนสวรรค์นะ บางทีเทวดาบางองค์ อู้ฮู! บริวารมหาศาลเลย เทวดาบางองค์ไม่มีใครเป็นพวกเลย นี่มันทำดีของมัน ทำดีของเขาอย่างไร นี่พูดถึงว่ามีอำนาจวาสนาบารมีนะ

แล้วมามืดไปสว่าง มาสว่างไปมืด หัวใจนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แต่เพราะเราได้สร้างสมบุญญาธิการ มนุษย์สมบัติ ศีล ๕ เราเคยให้อภัย เราเคยช่วยเหลือเจือจานสัตว์โลก เราไม่โกหกมดเท็จ เราไม่ผิดลูกเมียของใคร เราไม่โกหกมดเท็จใคร เราไม่ดื่มน้ำเมา นี่มนุษย์สมบัติ ถ้ามนุษย์สมบัติของใครอ่อนแอ อายุสั้น ถ้ามนุษย์สมบัติของใครเข้มแข็ง อายุยืนยาว อายุมันเป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นน่ะ มันมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น

เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วเราได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีคุณค่าไง ต้นทุน ต้นทุนชีวิต พอต้นทุนชีวิตขึ้นมาแล้วชีวิตทำอะไร ชีวิตเพื่อโลกไง ชีวิตเพื่อโลกใช่ไหม อยู่กับเขาใช่ไหม อยู่กับสังคมใช่ไหม ให้รักกันไปใช่ไหม

แต่ถ้าชีวิตเป็นพระโพธิสัตว์ เขาอยู่เพื่อโลก พระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่สร้างมาๆ เพื่อสังคม เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อการกระทำ เพื่อบ่มเพาะหัวใจของตน

นี่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เรามีความเชื่อมีความศรัทธา

หลวงตาท่านพูดประจำ “คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ”

แล้วคนที่นับถือศาสนาพุทธแล้วถ้ามีสติมีปัญญา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันรู้ มันตื่น มันเบิกบานของมันจริงนะ มันใช้ชีวิตของมันน่ะ มามืดไปสว่าง คุณงามความดีไปข้างหน้า

กุศลทำให้เกิดอกุศล ตั้งใจทำคุณงามความดี มามืดจะไปสว่าง พอสว่างขึ้นไปแล้ว แล้วก็หลับหูหลับตา

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่อาจารย์ของตนสอนก็อย่าเชื่อ เพราะวุฒิภาวะมันแตกต่างกันไง เราไม่เคยอยู่ในสังคมนั้น พออยู่ในสังคมนั้นเขาอยู่กันอย่างนั้น เราเข้าไปเราก็ตาโตเชียว เขาพาไปไหนก็ไม่รู้

แต่ต้องย้อนกลับมาที่ใจของเรา มันละมันวางได้จริงหรือ มันมีอะไรไปละไปวาง มันมีอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาบ้าง สอนให้คนอื่นละวาง ตัวเองสะสมเต็มที่ นี่ไง มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ อยากมีหน้ามีตามีอะไรบ้าบอคอแตก

เวลาครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นสัจจะความจริง เป็นสัจจะความจริง เข้าป่าเข้าเขาไป อยู่ในความสงัดวิเวกไป วิหารธรรมๆ ถ้ามันมีความสุขจริงมันมีความสุขในหัวใจอันนั้น มันไม่ต้องการให้ใครมาเชิดหน้าชูตาทั้งสิ้น

ถ้ามีการเชิดหน้าชูตา นี่ไง ผงชูรส อยากเติมผงชูรส อยากให้เขาหอมหวาน อยากให้เขาได้กลิ่น อยากให้เขามองหน้า

หลวงตาท่านพูดประจำ ให้เขาหันมามองหน้าทีเดียวก็ยังดี ทำอะไรก็ได้ให้เขามานับถือก็ยังดี

นี่ไง มันเป็นจริงหรือ นี่ไง กาลามสูตร อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน อย่าเชื่อ ให้ย้อนกลับมาที่ใจของเรานี่ มันเป็นความจริงหรือไม่ ถ้ามันเป็นความจริงนะ มันเข้าใจไง

เริ่มต้นดูสิ ปริยัติ การศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ไง เวลาเด็กๆ เราฝึกฝนมันๆ ถ้าฝึกฝนมา การที่เราเบียดเบียนเขามันมีแต่โทษทั้งสิ้น ถ้าเราเสียสละให้เขามันจะเป็นประโยชน์แล้ว แล้วถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นโทษ จิตใจมันเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แจกแจงแยกแยะแล้ว แจกแจงแยกแยะแล้วในใจของท่าน ท่านได้ประพฤติปฏิบัติ ท่านได้เห็นของจริง

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย”

มารนี่ขีดเส้นเลย ไม่ให้มันข้ามเส้นมาเลย แล้วเวลาจะทำลายมัน ฆ่ามัน เวลาพญามาร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ไปนั่งร้องไห้เดือดร้อนไปถึงลูกสาว ความโลภ ความโกรธ ความหลง “พ่อไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะไปจัดการให้เอง”

พ่อเขายังฆ่าแล้ว ลูกสาวมันจะมีอะไรขึ้นมา นี่ไง ถ้าทำเสร็จสิ้นกระบวนการมันไปแล้ว ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงในใจอันนั้น

แล้วสัจจะความจริง เราศึกษามา ศึกษามาเพื่อความรู้ของเรา เวลาจะปฏิบัติอย่าเชื่อ อย่าเชื่อใครๆ ทั้งสิ้น ให้มันเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้ามันจะสาธุ เห็นไหม

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา”

หลวงตาท่านศึกษาจนเป็นมหา ท่านบอกเลย ธรรมวินัยก็ศึกษามาหมดแล้ว แล้วเวลาไปอยู่ใกล้ชิด เวลาหลวงปู่มั่นท่านทำมันยิ่งกว่าอีก ธรรมวินัยยังไม่ละเอียดลึกซึ้งเท่านั้น ยังไม่ได้ละเอียดลึกซึ้งที่ท่านทำ ดูสิ ถือผ้าสามผืน ไม่เคยใช้ผ้าของใครทั้งสิ้น เก็บเอา ชักบังสุกุลเอา จนคนที่เขาเห็นดีเห็นงามต้องเอาไปวางไว้ให้ท่าน ให้ท่านชักผ้าบังสุกุลน่ะ

เวลามันทุกข์มันยากอยู่ในป่าในเขา ดูสิ หลวงตาท่านบอกเลย “๙ ปีที่อยู่ในป่าในเขาใครไม่เคยเห็นเราเลย เวลาเราเสร็จกิจแล้ว ออกมาแล้วถึงมาเห็นหน้าเรา” นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงมันต้องเป็นจริงในใจอันนั้น

นี่พูดถึงว่า ถ้ามันประพฤติปฏิบัติอยู่ใกล้ชิดนี่รู้ ศีลรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ใกล้ชิดกัน ธรรมะเวลาอ้าปาก อ้าปากออกมามีแต่การขัดแย้งกันทั้งสิ้น ธรรมะมันมาจากไหน ธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญา ความปกติของใจ ใจที่มันมั่นคงขึ้นมาเอ็งยังไม่มีเลยหรือ แล้วสมาธิ ความมั่นคง กำลังเอ็งไม่มีเลยหรือ แล้วถ้าปัญญาๆ โอ้โฮ! ความจำทั้งนั้นเลยนะ ปัญญาก็ไปเก็บมุขของครูบาอาจารย์ออกมาขยายความ อันนั้นมันเป็นสมบัติส่วนตนนะ

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงครูบาอาจารย์ เวลาสนทนาธรรม ถ้ามันไม่มีมันพูดไม่ได้ ถ้ามันไม่มีมันพูดออกมาไม่ได้

ไอ้ที่พูดๆ มา ถ้ามันมีใครพูดแล้ว แล้วเราพูดตาม ซ้ำทั้งนั้นน่ะ ความจำ ความจำทั้งสิ้น

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นความจริง พูดถึงว่าอยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ศีลมันรู้ได้ ศีล มันจริงหรือไม่จริง ศีลนี่มันสัมผัสได้เลย แล้วถ้าเป็นธรรมๆ นะ เป็นธรรมนะ เมตตาธรรม

เมตตาธรรมนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพูดเลย ท่านพยายามจะสร้างศาสนทายาท เวลาท่านพยายามค้นคว้าหาสัจธรรมในใจของท่านมันทุกข์มันยากขนาดไหน หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนบุกเบิกมาก่อน เวลาบุกเบิกมาก่อน ท่านถึงบอกว่าจิตนี้มันแก้ยากนะ จิตนี้มันแก้ยากนะ

แล้วจิตนี้มันเป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตคือสัจจะคือความจริง แต่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันชักมันนำ มันคล้อยตามไป แล้วคนที่ไม่มีสติ ไม่มีอำนาจวาสนา มันไม่มีขันติธรรมที่จะคงที่ไว้ได้ มันโดนชักนำไปหมด แล้วพอโดนชักนำไปมันเสียหายทั้งสิ้น

จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก กิเลสมันพลิกแพลงให้เป็น กิเลสมันพลิกมันแพลง ตัวเองไม่มีก็พยายามจะสร้างปมขึ้นมาให้มันมี มันไม่มีหรอก แต่คนมีมันก็มีของมัน มันบอกไม่มีมันก็มี

นี่ไง “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ” ท่านพยายามจะแก้ไขของท่าน นี่เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านสมบุกสมบันมาก่อน

ทำไร่ไถนาว่าเป็นเรื่องทุกข์ยาก ทำมาหากินก็เป็นเรื่องทุกข์ยาก แต่เวลาจะตรวจสอบจิตตัวเองมันทุกข์ยากมากกว่า เวลานั่งสัปหงกโงกง่วง ทำไมมันง่วงนอน

อดอาหาร ผ่อนอาหาร จบหมดน่ะ ผ่อนอาหาร มันจะง่วงไปไหน เวลามันจะเอาจริงๆ เข้าก็ไม่กล้า ทำจริงๆ จับจดไปหมด ทำอะไรไม่ได้สักชิ้นหนึ่ง

เวลาใช้ปัญญาๆ ปัญญาขี้โกง โกงเขามาทั้งสิ้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษามา ศึกษามาเป็นแนวทางให้ประพฤติปฏิบัติ ทรงจำธรรมวินัยนี้ไว้ให้ประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริง พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะมันเป็นคุณธรรมในใจของพระสารีบุตรเอง

นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันต้องเกิดขึ้นเองกลางหัวใจ ถ้าเกิดขึ้นเองเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดขึ้นเองคือเกิดจากการกระทำของเรา

ไม่ใช่เกิดขึ้นเองจากไปจำของเขามาแล้วก็ขโมยมาว่าเป็นของเรา เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะมันเหมือนกับหมาห่มหนังเสือ หมามันห่มหนังเสือ มันจะเห่าจะหอนอย่างไรมันก็เป็นหมา เสือนะ เวลาคำรามขึ้นมานะ จะอย่างไรมันก็เป็นเสือ

ความจำๆ หมาห่มหนังเสือคือมันเป็นหมา มันจะบันลือสีหนาทอย่างเสือเป็นไปไม่ได้ แต่มันห่มหนังเสืออยู่ไง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเสือ สิ่งที่คุ้มครองดูแลพวกเราอยู่ แล้วเราพยายามจะประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมาให้มันเป็นเสือ เสือให้มันบันลือสีหนาท ให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เสือมันอยู่ที่ไหนเอาไม้ไปแหย่มันก็คำรามเป็นเสือ

เสือไปอยู่ที่ไหนนะ ทำอะไรมัน มันก็คำรามเหมือนเสือ หมาไปอยู่ที่ไหนนะ ไปอยู่ในที่สูงส่งขนาดไหน เวลามันเห่าออกมาก็หมา หมาวันยังค่ำ

ความจริงอันนี้สำคัญ เวลาออกมานี่ไง ที่ว่ามีศีลมีธรรมหรือไม่ อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์มันรู้หมดน่ะ เพียงแต่รู้แล้วเราจะมีจุดยืนหรือไม่ เราจะเอาความจริงหรือเราจะอยู่กับหมาที่ห่มหนังเสือ ให้หมามันเห่ามันหอน แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นหรือ

บันลือสีหนาทๆ บันลือสีหนาทมันกังวานกลางหัวใจนะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลามันสงบระงับขึ้นมา แหม! มหัศจรรย์ แล้วความมหัศจรรย์นี้ใครๆ ก็อยากได้ แล้วก็มาประดิดประดอยกันอย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

เวลาอยู่ในศีลในธรรม สมณะต้องเป็นสมณสารูป ไม่ดำรงชีพแบบฆราวาส แต่เวลามันรุนแรง กิเลสมันท่วมท้น เราก็ต้องรุนแรงไปกับมัน เวลามันนิ่มนวล เราก็นิ่มนวลไปกับมัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติมันมีหนักมีเบา มีการกระทำ ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นสูตรสำเร็จอยู่อย่างนั้นน่ะ สูตรสำเร็จอย่างนั้นกิเลสมันเอาไปกินหมดน่ะ ทำพอเป็นพิธี แล้วพอเป็นพิธีแล้วก็ดูว่าพิธีนั้นมันยิ่งใหญ่

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านทำเสร็จแล้วจบ มันเป็นอดีตอนาคตไปแล้ว ปัจจุบัน ปัจจุบันนี้สำคัญ ถ้าปัจจุบันนี้สำคัญ เราทำของเราตรงนี้

วันพระ วันพระ วันโกนเราทำของเราให้ดีขึ้น รักษาหัวใจของเราให้ดีขึ้น ประพฤติปฏิบัติของเราให้เป็นพุทธะกลางหัวใจของเรานี้ กลางหัวใจนี้ให้เป็นประโยชน์กับเรา

ใครจะมีมุมมองทิฏฐิความเห็นของเขา สาธุ กรรมของสัตว์ ทุกคนจะให้ชอบเหมือนกันไม่ได้ มันกรรมของเขา มันรสนิยมของเขา

เราเองเรามีสติมีปัญญาของเรา เราเอาความจริง รสนิยมมาทีหลัง เอาความจริงก่อน แล้วความจริงถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาแล้วนะ รสนิยมมาทีหลัง

นี่พูดถึงสิ่งที่ว่ากิริยา อำนาจวาสนาของคนมันแตกต่างกัน แตกต่างกัน เราก็สงวนรักษาเพื่อหัวใจของเรา เพื่อการกระทำของเรา เพื่อเป็นความจริงของเรา เอวัง